วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การชันสูตรพลิกศพในคดีวิสามัญฆาตกรรม

คดีวิสามัญฆาตกรรมและไม่ใช่คดีวิสามัญฆาตกรรม  (ม.๑๕๐ วรรคสาม)
              คดีวิสามัญฆาตกรรม หมายถึง  คดีฆาตกรรมซึ่งผู้ตาย ถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตายโดยเจตนา
              ส่วนคดีฆาตกรรมซึ่งผู้ตาย ตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่และมีเจตนาฆ่า ไม่ใช่คดีวิสามัญฆาตกรรม
              สำนวนการสอบสวนที่จะต้องดำเนินการ ประกอบด้วย
              ๑. สำนวนชันสูตรพลิกศพ ที่ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ (ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๐ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนตาม ป.วิ อ. มาใช้โดยอนุโลม)
              ๒. สำนวนคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย และคดีฆาตกรรมซึ่งผู้ตาย ตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่
              ๓. สำนวนคดีที่กล่าวหาว่าผู้ตายต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตาม ป.อาญา มาตรา ๑๓๘ อัยการจังหวัด ตาม ป.วิ อาญา ม.๑๔๓ เป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจาก สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตาม ป.วิ อาญา ม.๓๙ (๑) อัยการจังหวัดอาจจะรอการออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีวิสามัญฆาตกรรมของอัยการสูงสุดก่อน

การทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ
              การทำสำนวนคดีที่เจ้าพนักงานถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ และ มาตรา ๒๘๙  ซึ่งเจ้าพนักงานจะอ้างการป้องกันตัวตาม ป.อ. มาตรา ๖๘  และในคดีฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทน เท่านั้น มีอำนาจออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๓ วรรคท้าย หากส่งให้อัยการจังหวัดฯ ออกคำสั่งย่อมไม่ชอบ ทำให้การสอบสวนเสียไปทั้งหมด หากเป็นการฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ หรือประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๑ เหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ไม่อยู่ในอำนาจอัยการสูงสุด หากแต่อยู่ในอำนาจอัยการจังหวัดฯ
               ถ้าหากในชั้นสอบสวน เจ้าพนักงานผู้ฆ่ามิได้เจตนาฆ่า แต่เจตนาทำร้ายร่างกาย หรือมิได้อ้างว่าตนปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แม้ความจริงเหตุที่ผู้ตายถูกฆ่านั้นเพราะต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าพนักงานจึงฆ่าตายอันเป็นการฆ่าเพราะปฏิบัติราชการตามหน้าที่ก็ตาม กรณีเช่นนี้ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไม่ต้องส่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุดพิจารณา คงส่งไปให้อัยการจังหวัดเท่านั้น เพราะในชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานผู้นั้นมิได้อ้างว่าการฆ่าดังกล่าวได้กระทำไปตามการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ เช่นนี้เมื่อพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการจังหวัด ก็เป็นการชอบแล้ว แม้ภายหลังผู้มีอำนาจจัดการแทนจะยกเหตุดังกล่าวขึ้น ต่อสู้ในชั้นศาลว่า พนักงานสอบสวนไม่สรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุดจึงเป็นการไม่ชอบไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๐๐/๒๕๓๒)
              การสอบสวนอาจทำให้เกิดความเคลือบแคลงในข้อเท็จจริงและกระทบต่อการอำนวยความยุติธรรม ทั้งเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความเป็นธรรมให้กับฝ่ายผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ทำให้ตาย และฝ่ายผู้ตาย จึงให้พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ หากหน่วยงานใดไม่มีพนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญให้ รอง ผบก. ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้รับผิดชอบทำสำนวนการสอบสวน ทั้ง ๓ สำนวน ด้วยตนเองโดยเคร่งครัด และให้ ผบก.หรือผู้รักษาการแทนเป็นหัวหน้าพนักพนักงานสอบสวน ตาม  ม.๑๘ วรรคสี่ และเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตาม ม.๑๔๐ แห่ง ป.วิ.อ. ในคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ของตน และให้ดำเนินการแจ้งพนักงานอัยการเข้าร่วมทำการสอบสวนตาม ป.วิ.อ. ม.๑๕๐ เมื่อสำนวนเสร็จให้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึง ตร. เพื่อพิจารณา และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนตาม ป.วิ.อ. ม.๑๔ ต่อไป
               ในกรณีคดีที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หรือปลัดผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ใช้อำนาจเข้าควบคุมการสอบสวน ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.๒๕๒๓ ข้อ ๑๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดย ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๓๖ ข้อ ๔  ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบรายงานรายละเอียดตามลำดับชั้น ถึง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใน ๗ วัน พร้อมทั้งความเห็นไปด้วย ตามคำสั่ง ตร.ที่ ๔๑๙/๒๕๓๖ ลง ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
               ถ้าปรากฏว่าฝ่ายปกครองได้เข้าควบคุมการสอบสวนแล้ว กรณีนี้ ได้มีหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส ๐๐๑๕/ว ๑๙๗ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ เรื่องแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับคดีวิสามัญฆาตกรรม (คลิกที่นี่) ให้พนักงานอัยการถือปฏิบัติ เนื่องจากเห็นว่าการส่งสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมเสนออัยการสูงสุดเมื่อพิจารณาสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๔๓ วรรคสาม ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกันโดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าควบคุมการสอบสวนโดยเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนและเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕ วรรคท้าย และมาตรา ๑๔๐  ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณา
               ส่วนคดีที่พนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ อาจใช้อำนาจทำการสอบสวนและมีความเห็นทางคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๔๐ พนักงานสอบสวนนั้นก็จะเป็นผู้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาเองโดยตรง
               ในการสอบสวนพนักงานอัยการต้องร่วมชันสูตรพลิกศพ ร่วมทำสำนวนชันสูตรพลิกศพและการยื่นคำร้องต่อศาลให้ทำการไต่สวนการตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๐ วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า ตามลำดับ และต้องเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนในการทำสำนวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๕/๑ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด ได้วางแนวทางให้พนักงานการถือปฏิบัติตามหนังสือที่ อส ๐๐๒๓/ ว ๑๓๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เรื่อง การเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทำสำนวนชันสูตรพลิกศพและสำนวนสอบสวนและมีกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการทำสำนวนการสอบสวนร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ พ.ศ.๒๕๕๓ ความในข้อ ๕ กำหนดว่าหากพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นไม่ตรงกันพนักงานอัยการอาจทำความเห็นของตนรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วยก็ได้ พนักงานอัยการจึงย่อมต้องตรวจสอบอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เพราะอาจเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหรือพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ หากอัยการสูงสุดรับสำนวนไว้พิจารณาไม่ว่าจากผู้ใดย่อมส่งผลถึงอำนาจสั่งคดีของอัยการสูงสุด ถ้าพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าวไม่ใช่ผู้มีอำนาจและไม่ใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ อาจทำให้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ และถ้าหากพนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมให้อัยการจังหวัด อัยการพิเศษฝ่าย หรืออธิบดีอัยการ พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑ หรือมาตรา ๑๔๒ แล้วแต่กรณี ให้ส่งสำนวนวิสามัญฆาตกรรมดังกล่าวคืนพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนเสนออัยการสูงสุดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๔๓ วรรค ๓

การชันสูตรพลิกศพ
                  > ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้น โดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือ
                  > ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่
ผู้ที่ร่วมชันสูตรพลิกศพ คือ
                     >> พนักงานอัยการ
                     >> พนักงานสอบสวน แห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่
                            -  ให้ รอง ผบก. หรือ พงส.ผชช. ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ผบก. ที่รับผิดชอบในเขตพื้นที่นั้น ทำการสอบสวนด้วยตนเอง
                            -  ให้ พงส. มีหน้าที่แจ้งแก่ผู้มีหน้าที่ไปทำการชันสูตรพลิกศพทราบ ก่อนการชันสูตรพลิกศพ
                     >> แพทย์

การร่วมกันทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ
                         -  เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการ เข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ (ม.๑๕๐ วรรคสี่)
                           -  ให้เสร็จภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
                           -  ถ้ามีความจำเป็นให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน
                           -  โดยให้ขอขยายเวลาออกไปยัง ผบก. ที่รับผิดชอบการสอบสวนในเขตพื้นที่นั้น พร้อมกับแสดงเหตุขัดข้องที่การสอบสวนไม่แล้วเสร็จไปด้วย (คำสั่ง ตร.ที่ ๔๑๙/๒๕๕๖)
                           -  ให้ ผบก. ที่รับผิดชอบการสอบสวนในเขตพื้นที่นั้น พิจารณาอนุมัติขยายเวลาได้ตามเหตุผลและความจำเป็น
                           -  ให้ พงส. บันทึกเหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้ง ไว้ในบันทึกการสอบสวนสำนวนชันสูตรพลิกศพ
การทำคำร้องขอให้ศาลไต่สวน
เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนชันสูตรพลิกศพแล้ว  (มาตรา ๑๕๐ วรรคห้า)
                          -  ให้พนักงานอัยการทำคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสำนวน
                         -  เพื่อให้ศาลทำการไต่สวน และทำคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย
                         -  ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่า ใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้
                         -  ถ้ามีความจำเป็น ให้พนักงานอัยการขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน
                         -  ต้องบันทึกเหตุผลและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้ง ไว้ในสำนวนชันสูตรพลิกศพ
                         -  ในการปฏิบัติหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ และทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานอัยการ

การไต่สวน
             ๑. ในการไต่สวน ให้ศาลปิดประกาศแจ้งกำหนดวันที่จะทำการไต่สวนไว้ที่ศาล และ
                       -  ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลส่งสำเนาคำร้อง และแจ้งกำหนดวันนัดไต่สวน ให้สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือญาติของผู้ตายตามลำดับ อย่างน้อยหนึ่งคนเท่าที่จะทำได้ ทราบก่อนวันนัดไต่สวน ไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน และ
                       -  ให้พนักงานอัยการนำพยานหลักฐานทั้งปวงที่แสดงถึงการตายมาสืบ
            ๒. เมื่อศาลได้ปิดประกาศแจ้งกำหนดวันที่จะทำการไต่สวนแล้ว  และ
                       -  ก่อนการไต่สวนเสร็จสิ้น สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือญาติของผู้ตาย มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล ขอเข้ามาซักถามพยานที่พนักงานอัยการนำสืบ และนำสืบพยานหลักฐานอื่นได้ด้วย
                       -  เพื่อการนี้ สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือญาติของผู้ตาย มีสิทธิแต่งตั้งทนายความดำเนินการแทนได้
                       -  หากไม่มีทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากบุคคลดังกล่าวเข้ามาในคดี ให้ศาลตั้งทนายความขึ้นเพื่อทำหน้าที่ทนายความฝ่ายญาติผู้ตาย
                       -  ในการชันสูตรพลิกศพ และการไต่สวน ในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้นำบทบัญญัติอันว่าด้วยการสอบสวน และการไต่สวนของศาลตามมาตรา ๑๗๒ ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
             ๓. เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม   (มาตรา ๑๕๔)
                       -  ศาลจะเรียกพยานที่นำสืบมาแล้วมาสืบเพิ่มเติมหรือเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบก็ได้ และ
                       -  ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็น เพื่อประกอบการไต่สวนและทำคำสั่ง
                       -  แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิของผู้นำสืบพยานหลักฐาน (ทนายความฝ่ายญาติผู้ตาย) ที่จะขอให้เรียกผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญอื่นมาให้ความเห็นโต้แย้ง หรือเพิ่มเติมความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว
                  คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ (มาตรา ๑๕๐) ให้ถึงที่สุด
                       -  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิฟ้องร้องและการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล หากพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นได้ฟ้องหรือจะฟ้องคดีเกี่ยวกับการตายนั้น
                       -  เมื่อศาลได้มีคำสั่งแล้ว ให้ส่งสำนวนการไต่สวนของศาลไปยังพนักงานอัยการ เพื่อส่งแก่พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป (นำเข้ารวมกับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาแล้วจึงสรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง)
              แพทย์  เจ้าพนักงานผู้ได้ทำการชันสูตรพลิกศพ  และผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เชี่ยวชาญที่ศาลขอให้มาให้ความเห็นตามมาตรานี้ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน หรือค่าป่วยการค่าพาหนะเดินทางและค่าเช่าที่พัก ตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ส่วนทนายความที่ศาลตั้งตามมาตรานี้ มีสิทธิได้รับเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับทนายความที่ศาลตั้งตามมาตรา ๑๗๓

การทำสำนวนสอบสวนร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ (มาตรา ๑๕๕/๑)
             >   ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือ
             >   ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือ
             >   ในกรณีที่ผู้ตายถูกกล่าวหาว่า ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่
                       พนักงานสอบสวน
                           -  เป็นผู้รับผิดชอบการทำสำนวนสอบสวน
                           -  แจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวน ในการทำสำนวนสอบสวน นับแต่โอกาสแรกเท่าที่จะพึงกระทำได้ (การแจ้ง อาจทําเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีที่แจ้งด้วยวาจา ให้พนักงานสอบสวนบันทึกการแจ้งไว้ในสํานวนสอบสวนด้วย)
                       พนักงานอัยการ
                          -  มีหน้าที่เข้าร่วมในการทําสํานวนสอบสวน
                          -  อาจให้คำแนะนำ (โดยทําเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาก็ได้ ทั้งนี้ ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหรือบันทึกคําแนะนําของพนักงานอัยการไว้ในสํานวนสอบสวน)
                          -  ตรวจสอบพยานหลักฐาน (แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบถึงความประสงค์จะตรวจสอบพยานหลักฐาน หรือเรียกให้พนักงานสอบสวนนําพยานหลักฐานมาให้ตรวจสอบก็ได้ โดยพนักงานอัยการต้องลงลายมือชื่อในบันทึกการตรวจสอบพยานหลักฐานด้วย)
                          -  ร่วมกับพนักงานสอบสวนในการถามปากคําผู้เสียหาย ผู้ต้องหา พยาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยพนักงานอัยการต้องลงลายมือชื่อในบันทึกคําให้การของบุคคลดังกล่าวด้วย
                          -  ในกรณีที่พนักงานอัยการมีความประสงค์จะให้มีการถามปากคําบุคคลใด นอกเหนือจากบุคคลที่พนักงานสอบสวนจะถามปากคํา ให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนดําเนินการ
                          -  ตั้งแต่เริ่มการทำสำนวนสอบสวนนับแต่โอกาสแรกเท่าที่จะพึงกระทำได้
                          -  ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง (กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการทําสํานวนสอบสวนร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓)
           ✏  ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทําให้พนักงานอัยการไม่อาจเข้าร่วมในการทําสํานวนสอบสวนกับพนักงานสอบสวนได้
                         -  ให้พนักงานอัยการแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบโดยเร็ว
                         -  ในกรณีเช่นนี้ให้พนักงานสอบสวนบันทึกเหตุที่พนักงานอัยการไม่สามารถเข้าร่วมในการทําสํานวนสอบสวน และ
                         -  ให้รอพนักงานอัยการเข้าร่วมในการทําสํานวนสอบสวน
           ✏  ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนและมีเหตุอันควร ไม่อาจรอพนักงานอัยการเข้าร่วมในการทำสำนวนสอบสวน
                         -  ให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนต่อไปได้
                         -  แต่ต้องบันทึกเหตุที่ไม่อาจรอพนักงานอัยการไว้ในสำนวน และถือว่าเป็นการทำสำนวนสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย
               การดําเนินการนี้ หากพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นไม่ตรงกัน พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ อาจทําความเห็นของตนรวมไว้ในสํานวนสอบสวนด้วยก็ได้